ขวบปีที่สามหรือ 1,365 วันแรกของชีวิต
ช่วงเวลาสำคัญสุดแห่งการพัฒนาเซลล์สมอง
เด็กจะฉลาดมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับช่วงนี้
สมองของมนุษย์ประกอบไปด้วยแสนล้านเซลล์สมอง
ที่มีใยประสาทประสานกันเป็นร่างแห
เพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญาณประสาทที่เดินทางรวดเร็วถึง 100 เมตรต่อวินาที
หรือประมาณ 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ดังนั้น
ทุกครั้งที่เด็กได้เรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ
เซลล์สมองจะเชื่อมต่อสร้างเป็นเครือข่ายใยประสาท ทำให้เกิดการคิดรูปแบบใหม่
ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญให้พวกเขาพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องราวที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
"ช่วง 3 ปีแรก
เซลล์สมองจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วถึงประมาณ 80%
จึงถือเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องพยายามสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับลูกให้มากที่สุด
หากเด็กไม่ได้รับการกระตุ้น เซลล์สมองที่ไม่ได้ใช้งานก็จะเสื่อมไป
เด็กแต่ละคนจึงมีพัฒนาการที่ต่างกัน" นพ.พงษ์ศักดิ์ น้อยพยัคฆ์
คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช กล่าว
เพราะเซลล์สมองที่มีการทำงานจะพัฒนาและแตกแขนงออกไป
นอกจากการคิดและเรียนรู้ นพ.พงษ์ศักดิ์กล่าวว่า อาหารก็เป็นสิ่งจำเป็น
เพราะจะเป็นส่วนประกอบสำคัญของโครงสร้างเยื่อหุ้มโพรงประสาทภายในสมอง
“นมแม่ดีที่สุด”
สารอาหารทุกอย่างในนมแม่ดีต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็ก
โดยเฉพาะดีเอชเอ (DHA) ที่นมแม่มีแต่นมวัวไม่มี
จะเป็นตัวช่วยในกระบวนการมองเห็น เนื่องจากเป็นสาระสำคัญสำหรับจอประสาทตา
และเป็นสารประกอบของผนังเซลล์สมอง ดังนั้น 1 ขวบปีแรกของเด็ก นมเป็นอาหารหลัก
และในวัย 1-3 ปี ก็จะต้องมีอาหารเสริม
แต่การศึกษาวิจัยพบว่า
ศักยภาพสมองของลูกน้อยอาจถูกใช้เพียง 1% เท่านั้น
ที่สำคัญการเลี้ยงดูและโภชนาการที่แตกต่างกัน
จะทำให้เด็กแต่ละคนเติบโตมามีศักยภาพที่แตกต่างกันด้วย
“วิธีการเรียนการสอนในปัจจุบัน
ไม่ได้กระตุ้นให้เด็กใช้งานสมองทั้งสองซีกอย่างเต็มประสิทธิภาพ
เพราะเด็กส่วนใหญ่ได้รับการฝึกสอนให้คุ้นเคยกับการท่องจำ
ซึ่งเป็นการใช้งานสมองซีกซ้ายเพียงอย่างเดียว
ในขณะที่สมองซีกขวาที่ทำงานเกี่ยวกับด้านศิลปะ ดนตรี จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์
ไม่ได้รับการกระตุ้น” คุณหมอกล่าว
การกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์สามารถทำได้ตลอดเวลา
เช่น ระหว่างนั่งรถ ก็ชี้ชวนให้ดูและสังเกตสิ่งรอบข้าง ก็ช่วยเสริมทักษะการคิด
วิเคราะห์และพัฒนาสมองให้ลูกได้ง่ายๆ
ด้าน ดร.พัฒนา ชัชพงศ์
ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย กล่าวว่า ในเด็กเล็กวัยไม่เกิน 3 ขวบ
การคิดของพวกเขาจะเกิดกับสิ่งรอบตัวที่เห็น เล่น สัมผัสหรือได้กลิ่น
ซึ่งเด็กจะเริ่มคิด เรียนรู้และจดจำ
โดยเฉพาะการจดจำผ่านการมองเห็นด้วยตาซึ่งจะจำได้มากถึง 80% ส่วน 20%
มาจากประสาทสัมผัสอีก 4 อย่างที่เหลือ
“การเรียนรู้ที่เด็กได้เห็นและทำ
(Learning by Doing) จะช่วยให้พวกเขาจดจำได้ดีขึ้น ที่สำคัญ
ผู้เป็นพ่อแม่จำเป็นต้องจัดเตรียมสิ่งแวดล้อมรอบตัวของเด็กให้เหมาะสมและหลากหลาย
เช่น สีสัน 3-4 สีที่แตกต่าง ของเล่น 3-4 ประเภท
ซึ่งไม่มากจนเกินไปจนเด็กจำไม่ได้หรือทิ้งขว้าง” ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
เครื่องมือสร้างความฉลาด
แผนผังความคิด หรือ Mind Maps เป็นเทคนิคที่ช่วยจัดระบบความคิด
ด้วยการถ่ายทอดข้อมูลหรือความคิดลงบนกระดาษโดยใช้สีสัน ตัวอักษร และภาพวาด
ทำให้สมองทั้งสองซีกทำงานร่วมกันอย่างสมดุล
เชื่อมต่อทั้งส่วนตรรกะและความคิดสร้างสรรค์ จนนำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
ในการทำ Mind Maps เด็กจะต้องหัดวิเคราะห์ข้อมูลจากองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ในสมอง
แล้วสรรหาความคิดหลักเพื่อนำมาถ่ายทอดลงบนกระดาษ
เมื่อเด็กได้เห็นภาพรวมความคิดของตัวเอง ก็จะสามารถต่อยอดหาความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ
ออกมาได้อีก จึงเป็นประโยชน์มากกว่าวิธีการเรียนแบบเดิมที่เน้นการจดและท่องจำ
ทั้งยังทำให้สนุกกับการเรียนรู้ เข้าใจในสิ่งที่กำลังเรียนได้ง่ายขึ้น
คิดเป็นองค์รวม รู้จักคิดนอกกรอบ ที่สำคัญ
ทำให้เด็กรู้จักคิดและจัดเก็บข้อมูลในสมองอย่างเป็นระบบ
แผนผังความคิดนี้สามารถใช้ได้ในเด็กเล็กแม้จะยังวาดไม่ได้
แต่พ่อแม่สามารถเข้ามาช่วยวาด เป็นกิจกรรมสร้างสัมพันธ์
ในขณะเดียวกันก็ช่วยให้เขาได้เห็นและจดจำผ่านรูปที่พ่อแม่วาดให้ดู
จนกระทั่งเมื่อถึงวัย 5-6 ขวบที่สามารถวาดรูปได้ เด็กก็จะได้คิด
วิเคราะห์และวาดออกมาเป็นรูป แม้จะไม่เหมือนของจริงนัก แต่เป็นสัญลักษณ์ที่เขาคิดและมองเห็น
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
แสดงความคิดเห็น