โรคนี้มียุงลาย (Aedes aegypti) เป็นพาหะนำโรค
กล่าวคือ ยุงลายจะกัดคนที่เป็นไข้เลือดออกก่อน แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียง
(ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร) ก็จะแพร่เชื้อให้คนอื่นๆ ต่อไป
ยุงชนิดนี้ชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ
จานรองตู้กับข้าว แจกัน ฝากะลา กระป๋อง หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น
เป็นยุงที่ออกหากิน (กัดคน) ในเวลากลางวัน
อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่
ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงซึ่งเกิดขึ้นฉับพลัน มีลักษณะไข้สูงลอยตลอดเวลา
(กินยาลดไข้ก็มักจะไม่ลด) หน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ กระหายน้ำ ผู้ป่วยจะซึม
มักมีอาการเบื่ออาหารและอาเจียนร่วมด้วยเสมอ บางรายอาจบ่นปวดท้องในบริเวณ
ใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงขวา หรือปวดท้องทั่วไป อาจมีอาการท้องผูก หรือถ่ายเหลว
ส่วนมากมักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมาก (เช่น
คนที่เป็นไข้หวัดหรือออกหัด) แต่บางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงเล็กน้อย
หรือไอบ้างเล็กน้อย
ในราววันที่ 3 ของไข้ อาจมีผื่นแดง ไม่คัน ขึ้นตามแขน ขา และลำตัว
ซึ่งจะเป็นอยู่ 2-3 วัน บางรายอาจมีจุดเลือดออกมีลักษณะเป็นจุดแดงเล็กๆ
(บางครั้งอาจมีจ้ำเขียวด้วยก็ได้) ขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ ในช่องปาก
(เพดานปาก กระพุ้งแก้ม ลิ้นไก่) ในระยะนี้อาจคลำพบตับโต และมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย
การทดสอบทูร์นิเคต์* ส่วนใหญ่จะให้ผลบวกตั้งแต่วันที่ 2 ของไข้
และในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว มักจะพบมีจุดเลือดออกมากกว่า 20 จุดเสมอ
ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรง
ส่วนมากไข้ก็จะลดลงในวันที่ 5-7 บางรายอาจมีไข้เกิน 7 วันได้ แต่ถ้าเป็นมาก
ก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2
ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก
มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3
และ 4 และไม่ค่อยพบผู้ป่วยที่เกิดจากเชื้อชิกุนคุนยา
อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรคซึ่งถือว่าเป็นช่วงวิกฤติของโรค
อาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก
มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย ตัวเย็น มือเท้าเย็น
เหงื่อออก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้งต่อนาที)
และความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด
ทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก ถ้าเป็นรุนแรงผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว
ตัวเย็นชืด ปากเขียว ชีพจรคลำไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้
หากไม่ได้รับการรักษาได้ทันท่วงทีก็อาจตายได้ภายใน 1-2 วัน
นอกจากนี้ ผู้ป่วยยังอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น)
เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดสดๆ หรือเป็นสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสดๆ
หรือเป็นสีน้ำมันดิบๆ ถ้าเลือดออกมักทำให้เกิดภาวะช็อกรุนแรงถึงตายได้อย่างรวดเร็ว
ระยะที่ 2 นี้ จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤติไปได้
ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3
ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว
ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านช่วงวิกฤติไปแล้ว
ก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง
เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ก็จะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ
อาการที่ส่อว่าดีขึ้น ก็คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากกินอาหารแล้วอาการต่างๆ
จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ระยะนี้อาจกินเวลา 7-10 วัน หลังผ่านระยะที่ 2
รวมเวลาตั้งแต่เริ่มเป็นจนแข็งแรงดีประมาณ 7-14 วัน, ในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อย อาจเป็นอยู่ 3-4 วัน ก็หายได้เอง
(ส่วนอาการไข้ อาจเป็นอยู่ 2-7 วัน บางรายอาจนาน 10 วันก็ได้)
การดำเนินโรค
ประมาณร้อยละ 70-80 ของคนที่เป็นไข้เลือดออกจะมีอาการเพียงเล็กน้อย
และหายได้เองภายในประมาณ 7-14 วัน เพียงแต่ให้การรักษาตามอาการและให้ดื่มน้ำมากๆ
เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำและช็อกก็เพียงพอ ไม่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ไม่ต้องฉีดยาหรือให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด
ประมาณร้อยละ 20-30 อาจมีภาวะช็อกหรือเลือดออก
ซึ่งก็มีทางรักษาได้ด้วยการให้น้ำเกลือหรือให้เลือด
มีเพียงส่วนน้อยที่อาจเป็นรุนแรงถึงตายได้ โดยเฉพาะถ้าพบในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี
อาจมีอัตราตายสูงกว่ากลุ่มอายุอื่นๆ
ภาวะแทรกซ้อน
นอกจากภาวะเลือดออกรุนแรง
(ถ้ามีเลือดออกในกระเพาะอาหารจำนวนมากหรือมีเลือดออกในสมองมักมีอัตราตาย สูง)
และภาวะช็อกแล้ว ยังอาจเกิดภาวะตับวาย (มีอาการดีซ่าน)
ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรงถึงตายได้ มักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอยู่นาน
นอกจากนี้อาจเป็นปอดอักเสบ (อาจมีภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้)
หลอดลมอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก
นอกจากนี้ถ้าให้น้ำเกลือมากไป อาจเกิดภาวะปอดบวมน้ำ (pulmonary edema) เป็นอันตรายได้ ดังนั้น
เวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด ควรตรวจดูอาการอย่างใกล้ชิด
การแยกโรค
ไข้เลือดออกจะมีอาการไข้สูง (ตัวร้อน) เป็นสำคัญ
ควรแยกแยะออกจากไข้อื่นๆ ได้แก่
-ไข้หวัด มีอาการตัวร้อนเป็นพักๆ มีน้ำมูกไหล ไอ เจ็บคอเล็กน้อย
ไข้มักจะหายได้เองภายใน 2-4 วัน
-ไข้หวัดใหญ่ มีอาการตัวร้อนจัดเป็นพักๆ ปวดเมื่อยตามตัวมาก เบื่ออาหาร
เจ็บคอเล็กน้อย ไอ และมีน้ำมูกเล็กน้อยร่วมด้วย อาการไข้มักจะหายได้เองภายใน 3-5
วัน
-หัด มีอาการตัวร้อนตลอดเวลา หน้าแดง ตาแดง คล้ายไข้เลือดออก
แต่แตกต่างกันตรงที่หัดจะมีขี้มูกเกรอะกรัง ไอ และหลังมีไข้ 3-4
วันจะมีผื่นแดงขึ้นตามตัว โรคนี้มักหายได้เองภายใน 7-10 วัน
-ปอดอักเสบ (ปอดบวม) มีไข้สูง ไอมีเสลด เจ็บหน้าอก และหายใจหอบ
หากสงสัยต้องไปพบแพทย์ทันที มักต้องทำการตรวจเสมหะ เอกซเรย์ปอด
-ไข้รากสาดน้อย (ไทฟอยด์) มีไข้สูงตลอดเวลา จุกแน่นท้อง คลื่นไส้
อาเจียน ท้องผูกหรือไม่ก็ถ่ายเหลว ไม่มีน้ำมูก อาการตัวร้อนมักจะเป็นนานเป็นสัปดาห์ขึ้นไป
หากสงสัยแพทย์จะทำการตรวจเลือดพิสูจน์
-เล็ปโตสไปโรซิส (ไข้ฉี่หนู) จะมีไข้สูงตลอดเวลา หนาวสั่น ปวดน่อง
ตาแดง ดีซ่าน หากสงสัยควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
การรักษา
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการซักถามประวัติและตรวจร่างกายอย่างละเอียดและทำการทดสอบทูร์นิเคต์
บางรายโดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นรุนแรงและรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล
อาจต้องทำการตรวจเลือดเป็นระยะ
ส่วนการรักษาถ้าเป็นไม่รุนแรงอาจกินยาลดไข้-พาราเซตามอล และปฏิบัติตัวตามหัวข้อ
"การดูแลตนเอง" แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาตรวจดูทุก 1-2 วัน จนแน่ใจว่าหายดี
(อาจกินเวลา 7-10 วัน) ในรายที่เป็นรุนแรง แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล
โดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำและทำการตรวจเลือดดูความเข้มข้นของเลือด (ฮีมาโทคริต)
เป็นระยะๆ ในรายที่มีเลือดออก ก็จำเป็นต้องให้เลือดทดแทน
การวินิจฉัย
แพทย์จะทำการเจาะเลือด ตรวจดูความเข้มข้นของเลือด (ฮีมาโทคริต)
ซึ่งจะพบว่ามีความเข้มข้นมากกว่าปกติ (มีค่ามากกว่าร้อยละ 50)
ตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือด (ทำหน้าที่ห้ามเลือด) ซึ่งจะต่ำกว่าปกติ
เป็นเหตุให้มีเลือดออกง่าย การวินิจฉัยที่แน่นอน คือ
การตรวจเลือดพบร่องรอยของการติดเชื้อไข้เลือดออก
การดูแลตนเอง
ในระยะ 2-3 วันแรกของการเป็นไข้อาการอาจไม่ชัดเจน คือ ยังกินอาหารได้
ดื่มน้ำได้ ไม่อาเจียน ไม่ปวดท้อง ไม่มีจ้ำเลือดขึ้น ไม่มีเลือดออก
ยังลุกเดินไปไหนมาไหนได้ ก็อาจให้การดูแลแบบไข้ทั่วๆ ไป ดังนี้
-นอนพักผ่อนให้มากๆ
-ห้ามอาบน้ำเย็น ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ
-ดื่มน้ำให้มากๆ ให้ได้วันละ 3-4 ลิตร (15-20 แก้ว)
โดยทยอยจิบทีละน้อยตลอดทั้งวัน อาจเป็นน้ำสุกเปล่าๆ น้ำหวาน น้ำอัดลม
(ควรหลีกเลี่ยงน้ำที่มีสีแดง สีดำ หรือสีน้ำตาล
เพราะหากผู้ป่วยมีอาการอาเจียนเป็นเลือด
อาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสีของน้ำที่ดื่มเข้าไปได้) น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น
หรือน้ำข้าวต้มก็ได้แล้วแต่จะชอบ หากสังเกตว่าริมฝีปากอิ่ม ลิ้นหายเป็นฝ้า
คอหายแห้ง และมีปัสสาวะออกมากและใส ก็ถือว่าร่างกายได้น้ำเพียงพอ
ซึ่งการปฏิบัติในข้อนี้จะช่วยป้องกันมิให้ร่างกายขาดน้ำและเกิดภาวะช็อกได้
ควรดื่มน้ำมากๆ ให้ได้ทุกวันจนพ้นระยะวิกฤติ (ประมาณ 7 วัน)
-ให้กินยาลดไข้ พาราเซตามอล
ผู้ใหญ่ กินครั้งละ 1-2 เม็ด
เด็กโต กินครั้งละ ครึ่ง - 1 เม็ด
เด็กเล็ก ใช้ชนิดน้ำเชื่อม กินครั้งละ 1-2 ช้อนชา
ถ้ายังมีไข้ให้กินซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมง
ถ้าไข้ยังไม่ลดห้ามกินยาถี่กว่านี้ เพราะการกินยาพาราเซตามอล มากเกินขนาดอาจมีพิษต่อตับได้
ส่วนแอสไพริน (เช่น ยาแก้ไข้ชนิดซองยี่ห้อต่างๆ) ห้ามกินเป็นอันขาด
เพราะอาจทำให้มีอาการเลือดออกได้ง่ายขึ้น เนื่องจากแอสไพรินทำให้เลือดไม่แข็งตัว
การกินยาลดไข้อาจทำให้ไข้ลดเพียงชั่วประเดี๋ยว หรืออาจไม่ได้ผลเลยก็ได้
ควรใช้วิธีเช็ดตัวบ่อยๆ จะช่วยให้รู้สึกสบายตัวมากขึ้น
ควรเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา ถ้าผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง
อาเจียน กินไม่ได้ ดื่มน้ำได้น้อย นอนซึม ปัสสาวะออกน้อยและเป็นสีน้ำชา
มีจุดแดงจ้ำเขียวขึ้นตามตัว หรือมีเลือดออก หรือมีความวิตกกังวล
ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
การป้องกัน
ในปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก
การป้องกันอยู่ที่การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุง เช่น
-ปิดฝาโอ่งน้ำ และล้างโอ่งน้ำทุก 10 วัน
-เปลี่ยนน้ำในแจกันทุก 10 วัน สำหรับแจกันพลูด่าง
ต้องใช้น้ำชะล้างไข่หรือลูกน้ำที่เกาะติดตามราก
-จานรองตู้กับข้าว ควรใส่น้ำเดือดลงไปทุก 10 วัน
หรือใส่เกลือแกงในน้ำที่อยู่ในจานรองตู้ ขนาด 2 ช้อนชาต่อน้ำ 1 แก้ว
-ควรเก็บกระป๋อง กะลา ยางรถยนต์เก่าๆ หรือสิ่งที่จะเป็นที่ขังน้ำ
ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้าน โรงเรียน และแหล่งชุมชน ทำลายหรือฝังดินให้หมด
-ปรับพื้นบ้านและสนามอย่าให้เป็นหลุมเป็นบ่อที่มีน้ำขังได้
-วิธีที่สะดวก คือ ใส่ทรายอะเบต (abate) ชนิดร้อยละ 1
ลงในตุ่มน้ำและภาชนะกักเก็บน้ำทุกชนิด ในอัตราส่วน 10 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตร
(ตุ่มมังกรขนาด 8 ปีบ ใช้อะเบต 2 ช้อนชา, ตุ่มซีเมนต์ขนาด
12 ปีบ ใช้อะเบต 2.5 ช้อนชา) ควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน
น้ำที่ใส่ทรายอะเบตสามารถใช้ดื่มกินได้อย่างปลอดภัย
-ให้สุขศึกษาแก่ประชาชนเมื่อเข้าใกล้ฤดูฝน
และทำการรณรงค์ให้มีการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงพร้อมๆ กันทั้งในบ้าน โรงเรียน
และแหล่งชุมชน จึงจะได้ผลต่อการควบคุมยุงลาย
-เด็กที่นอนกลางวันควรกางมุ้งอย่าให้ยุงลายกัด