โรคโปลิโอ หรือ Poliomyelitis นับเป็นโรคที่มีความสำคัญมากโรคหนึ่ง
ทั้งนี้เพราะเชื้อ ไวรัสโปลิโอ
จะทำให้มีการอักเสบของไขสันหลังทำให้มีอัมพาตของกล้ามเนื้อแขนขา
ซึ่งในรายที่อาการรุนแรงจะทำให้มีความพิการตลอดชีวิต และบางรายอาจถึงเสียชีวิตได้
ในปัจจุบันอุบัติการณ์ของโรคโปลิโอได้ลดลงอย่างมาก
เป็นผลจากการให้วัคซีนโปลิโอครอบคลุมได้ในระดับสูง
สาเหตุ
เกิดจากเชื้อไวรัสโปลิโอ
ซึ่งจัดอยู่ในตระกูล Picornaviridae และในกลุ่ม
Enterovirus มี 3 Serotype คือ Type
1, 2 และ 3 แต่ละชนิดอาจจะทำให้เกิดอัมพาตได้
พบ type 1
ทำให้เกิดอัมพาตและเกิดการระบาดได้บ่อยกว่าทัยป์อื่นๆ เมื่อติดเชื้อชนิดหนึ่งแล้วจะมีภูมิคุ้มกันถาวรเกิดขึ้นเฉพาะต่อทัยป์นั้น
ไม่มีภูมิต้านทานต่อทัยป์อื่น ดังนั้น ตามทฤษฎีแล้วอาจติดเชื้อได้ถึง 3 ครั้ง
ระบาดวิทยา
เชื้อนี้จะอยู่ในลำไส้ของคนเท่านั้น ไม่มีแหล่งรังโรคอื่นๆ
เชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในลำไส้ของคนที่ไม่มีภูมิต้านทานและอยู่ภายในลำไส้ 1-2 เดือน เมื่อถูกขับถ่ายออกมาภายนอก
จะไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ และเชื้อจะอยู่ภายนอกร่างกายในสิ่งแวดล้อมไม่ได้นาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตร้อน อายุครึ่งชีวิตของไวรัสโปลิโอ (half life) ประมาณ 48 ชั่วโมง การติดต่อที่สำคัญคือ เชื้อที่ถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระเข้าสู่อีกคนหนึ่งโดยผ่านเข้าทางปาก
(fecal-oral route) โดยเชื้อปนเปื้อนติดมือผ่านจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
(person to person) และเข้าสู่ร่างกายเมื่อหยิบจับอาหารเข้าสู่ปาก
ในพื้นที่ที่มีอนามัยส่วนบุคคล และการสุขาภิบาล ไม่ได้มาตรฐานจะพบโรคโปลิโอได้บ่อยในเด็กอายุต่ำกว่า
5 ปี และเป็นการติดต่อทาง fecal-oral route ในประเทศอุตสาหกรรม
ซึ่งมีระดับสุขาภิบาลและการอนามัยส่วนบุคคลดีการติดต่อส่วนใหญ่จะเป็นแบบ oral-oral
route โดยเชื้อที่เพิ่มจำนวนในลำคอ หรือทางเดินอาหารส่วนบน (oropharynx)
ถูกขับออกมาพร้อมกับ pharyngeal secretion ออกมาทางปาก
ปนเปื้อนมือที่หยิบจับอาหารเข้าทางปากของอีกผู้หนึ่ง
โปลิโอเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก
การให้วัคซีนโอพีวีในระดับความครอบคลุมเกินร้อยละ 80
มีผลทำให้อุบัติการณ์ของโรคนี้ลดลงมาก และประเทศที่เจริญแล้วเป็นจำนวนมากที่ไม่มีรายงานโรคโปลิโอ
ระยะฟักตัวของผู้ป่วยที่มีอัมพาต
อยู่ระหว่าง 1-2 สัปดาห์
แต่อาจนานถึง 5 สัปดาห์หรือสั้นเพียง 3-4 วันได้
อาการและการดำเนินโรค
เมื่อเชื้อโปลิโอเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ไม่มีภูมิต้านทาน
ไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในบริเวณ pharynx และลำไส้ สองสามวันต่อมาก็จะกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอที่ทอนซิล
และที่ลำไส้และเข้าสู่กระแสเลือดทำให้มีอาการไข้เกิดขึ้น
ส่วนน้อยของไวรัสจะผ่านจากกระแสเลือดไปยังไขสันหลังและสมองโดยตรง
หรือบางส่วนอาจผ่านไปไขสันหลังโดยทางเส้นประสาท เมื่อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้วมักจะไปที่ส่วนของไขสันหลังหรือสมองที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อ
เมื่อเซลล์สมองในส่วนที่
ติดเชื้อมีอาการอักเสบมากจนถูกทำลายไป
กล้ามเนื้อที่ควบคุมโดยเซลล์ประสาทนั้นก็จะมีอัมพาตและฝ่อไปในที่สุด
อาการที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอแตกต่างกันได้มาก
ประมาณร้อยละ 90 จะไม่มีอาการแสดงใดๆ
ประมาณร้อยละ 4-8 จะมีอาการไม่รุนแรงไม่มีอัมพาต
ประมาณร้อยละ 1 จะมีอาการแบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบไม่มีอัมพาต
ประมาณร้อยละ 1-2 เท่านั้นที่จะมีอาการอัมพาตเกิดขึ้น
ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการมีความสำคัญทางด้านระบาดวิทยา
เพราะเชื้อไวรัสโปลิโอที่เข้าไปจะไปเพิ่มจำนวนในลำไส้ และขับถ่ายออกมาเป็นเวลา 1-2 เดือน นับเป็นแหล่งแพร่โรคที่สำคัญในชุมชน
ผู้ป่วยที่มีอาการน้อยมาก
หรือที่เรียกว่า abortive case หรือ minor
illness จะมีอาการไข้ต่ำๆ เจ็บคอ อาเจียน ปวดท้อง เบื่ออาหาร
และอ่อนเพลีย อาการจะเป็นอยู่ 3-4 วัน
ก็จะหายเรียบร้อยโดยไม่มีอาการอัมพาต
ซึ่งจะวินิจฉัยโรคแยกจากโรคติดเชื้อไวรัสอื่นไม่ได้
ผู้ป่วยที่มีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสโปลิโอ
จะมีอาการเช่นเดียวกับที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้าย abortive case แต่จะตรวจพบคอแข็งชัดเจน มีอาการปวดศีรษะ
ปวดตามกล้ามเนื้อ เมื่อตรวจน้ำไขสันหลังก็จะพบผิดปกติแบบการติดเชื้อไวรัส
มีเซลล์ขึ้นไม่มากส่วนใหญ่เป็นลิมโฟซัยท์ ระดับน้ำตาลและโปรตีนปกติ
หรือเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตจะมีอาการแบ่งได้เป็น 2 ระยะ ระยะแรกคล้ายกับใน abortive case หรือเป็น minor
illness เป็นอยู่ 3-4 วัน หายไป 3-4 วัน เริ่มมีไข้กลับมาใหม่
พร้อมกับมีอาการปวดกล้ามเนื้ออาจมีการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อก่อนที่จะมีอัมพาตเกิดขึ้น
กล้ามเนื้อจะเริ่มมีอัมพาตและเพิ่มจำนวนกล้ามเนื้อที่มีอัมพาตอย่างรวดเร็ว
ส่วนใหญ่จะเกิดเต็มที่ภายใน 48 ชั่วโมง
และจะไม่ขยายเพิ่มขึ้นภายหลัง 4 วัน
เมื่อตรวจดูรีเฟลกซ์บางครั้งจะพบว่าหายไปก่อนที่กล้ามเนื้อจะมีอัมพาตเต็มที่
ลักษณะของอัมพาตในโรคโปลิโอมักจะพบที่ขามากกว่าแขนและจะเป็นข้างเดียวมากกว่า
2 ข้าง (asymmetry) มักจะเป็นกล้ามเนื้อต้นขา
หรือต้นแขนมากกว่าส่วนปลาย เป็นแบบอ่อนปวกเปียก (flaccid) โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงในระบบความรู้สึก
(sensory) ที่พบบ่อยคือเป็นแบบ spinal form ที่มีอัมพาตของแขน ขา หรือกล้ามเนื้อลำตัว
ในรายที่เป็นมากอาจมีอัมพาตของกล้ามเนื้อส่วนลำตัวที่หน้าอกและหน้าท้อง
ซึ่งมีความสำคัญในการหายใจ ทำให้หายใจเองไม่ได้ อาจถึงตายได้ถ้าช่วยไม่ทัน
มีส่วนน้อยของผู้ป่วยอาจมีอัมพาตของศูนย์การควบคุมการหายใจและการไหลเวียนโลหิต
และเส้นประสาทสมองที่ออกมาจากส่วนก้านสมองทำให้มีความลำบากในการกลืน
การกินและการพูด เรียกว่าเป็น bulbar form ซึ่งมีอัตราตายสูง เนื่องจากปัญหาทางการหายใจ
การวินิจฉัยโรค
ผู้ป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้ออัมพาตแบบอ่อนปวกเปียก (acute flaccid paralysis : AFP) ควรจะต้องนึกถึงโรคโปลิโอไว้เสมอ
และดำเนินการสอบสวนโรค พร้อมกับเก็บอุจจาระส่งตรวจเพื่อ แยกเชื้อโปลิโอ การวินิจฉัยที่แน่นอนคือ
แยกเชื้อโปลิโอได้จากอุจจาระ และทำการตรวจว่าเป็นทัยป์ใดเป็นสายพันธุ์ wild
strain หรือ vaccine strain (Sabin strain)
การเก็บอุจจาระส่งตรวจควรเก็บ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 24
ชั่วโมง ต้องเก็บให้เร็วภายใน 1-2
สัปดาห์ภายหลังที่พบมีอาการ AFP ซึ่งเป็นช่วงที่มีจำนวนไวรัสในอุจจาระมากกว่าระยะอื่นๆ
การจัดส่งอุจจาระเพื่อส่งตรวจจะต้องให้อยู่ในอุณหภูมิ 4-8
องศาเซลเซียส ตลอดเวลา มิฉะนั้นเชื้อโปลิโออาจตายได้
การรักษา
ให้การรักษาแบบประคับประคองในระยะแรกที่มีปวดตามกล้ามเนื้อ
ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบ ให้นอนพักคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเมื่อมีอัมพาต
และมีการหายใจลำบากจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ
เมื่อไม่มีกล้ามเนื้อเป็นอัมพาตเพิ่มมากขึ้นและหายปวด จึงเริ่มให้การนวดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ
ของกล้ามเนื้อ
การแยกผู้ป่วย
ผู้ป่วยที่สงสัยว่าเป็นโปลิโอจะขับถ่ายไวรัสออกมาทางอุจจาระได้เป็นระยะเวลา
1-2 เดือน
ดังนั้นควรจะระวังการแพร่เชื้อจากสิ่งขับถ่ายจากระบบทางเดินอาหาร (enteric
precaution) ในระหว่างที่อยู่โรงพยาบาล
การป้องกัน
1) ในเด็กทั่วไป การให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ (OPV) นับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุด
โดยการให้วัคซีนป้องกัน 5 ครั้งเมื่ออายุ 2, 4, 6 และ 18 เดือน และกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4 ปี และไปรับวัคซีนทุกครั้งที่มีการรณรงค์ให้วัคซีนป้องกันโรคโปลิโอ
2) ป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อโปลิโอ
ด้วยการรับประทานอาหารและดื่มน้ำสะอาดถูกสุขลักษณะ
รวมทั้งการถ่ายอุจจาระลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะทุกครั้ง
แสดงความคิดเห็น