ไข้หวัดใหญ่



ไข้หวัดใหญ่  เป็นโรคที่สามารถพบได้ในทุกเพศ ทุกวัย แต่จะพบมาในเด็ก แต่อัตราการตายกลับพบมากในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นโรคหัวใจ โรคปอด โรคไต เป็นต้น
            สำหรับไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อที่เรียกว่า influenza virusเป็นการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจซึ่งอาจจะลามลงไปปอด ผู้ป่วยจะมีอาการค่อนข้างเร็ว  ไข้สูงกว่าไข้หวัด ปวดศีรษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลียอย่างฉับพลัน




การติดต่อ

เชื้อนี้จะติดต่อไดง่ายการติดต่อสามารถติดต่อได้โดย เชื้อสามารถติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งโดยการหายใจ การไอ หรือจาม การสัมผัสน้ำมูกหรือเสมหะของผู้ป่วยโดยเชื้อจะผ่านเข้าทางเยื่อบุตา จมูกและปาก
การสัมผัสสิ่งที่ปนเชื้อโรคเช่นผ้าเช็ดหน้า ช้อน แก้วน้ำ 

อาการของโรค

ส่วนใหญ่ผู้ที่ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่จะไม่มีโรคแทรกซ้อน  ระยะฟักตัวของเชื้อคือ  1-4วัน โดยเฉลี่ย 2 วันผู้ป่วยจะมีอาการ
·         อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้
·         ปวดศีรษะอย่างรุนแรงปวดตามแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบตา
·         ไข้สูง 39-40 ํ c
·         เจ็บคอและคอแดงมีน้ำมูกใสไหล
·         ไอแห้งๆ
·         ตามตัวจะร้อน แดง ตาแดง
·         อาการอาเจียน หรือท้องเดิน ไข้เป็น 2-4 วันแล้วค่อยๆลดลงแต่อาการคัดจมูก และแสบคอยังคงอยู่โดยทั่วไปจะหายใน 1 สัปดาห์
ยกเว้นผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อนแล้วติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ จะทำให้มีการติดไปยังระบบอื่นๆ ด้วย เช่น
·         อาจพบการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก หรืออาการหัวใจวาย ผู้ป่วยจะเหนื่อยหอบ
·         ระบบประสาท พบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และสมองอักเสบผู้ป่วยจะปวดศีรษะมาก และซึมลง
·         ระบบหายใจ มีหลอดลมอักเสบ และปอดบวมผู้ป่วยจะแน่นหน้าอก และเหนื่อย
·         โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่มักจะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีผู้ป่วยบางรายมีอาการไอ และปวดตามตัวนาน 2 สัปดาห์ ส่วนผู้ที่เสียชีวิตมักจะเกิดจากปอดบวม และโรคหัวใจหรือโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่
ระยะที่จะแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่น หรือระยะติดต่อ
ระยะเวลาที่ติดต่อคนอื่นคือ 1 วันก่อนเกิดอาการ
ห้าวันหลังจากมีอาการ
ในเด็กอาจจะแพร่เชื้อ 6 วันก่อนมีอาการ และแพร่เชื้อได้นาน 10 วัน

โรคแทรกซ้อน

-ติดเชื้อแบคทีเรีย อาจจะทำให้ปอดบวม ฝีในปอด หนองในช่องเยื่อหุ้มปอด
-ไข้หวัดใหญ่ในหญิงมีครรภ์ ผลต่อมารดามักเป็นชนิดรุนแรงและมีอาการมาก ผลต่อเด็กอาจจะทำให้แท้ง

การรักษา

ไข้หวัดใหญ่ที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนสามารถดูแลตัวเองที่บ้านได้ ดังนี้
-นอนพักมากๆ ไม่ควรออกกำลังกาย
-ให้ดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ หรืออาจจะดื่มน้ำเกลือแร่ร่วมด้วยแต่ไม่ควรดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียวเพราะจะทำให้ท่านขาดเกลือแร่ได้ หรืออาจจะเตรียมโดยใช้น้ำข้าวใส่เกลือและน้ำตาลก็ได้
-การรักษาตามอาการ และการประคับประคอง
-ลดไข้ด้วยยาลดไข้ เช่น paracetamolไม่ควรให้ aspirin
-ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะเพราะยาปฏิชีวนะมีผลต่อเชื้อแบคทีเรีย ไข้หวัดใหญ่เป็นเชื้อไวรัส
-ถ้าไอมากอาจจะซื้อยาแก้ไอรับประทาน
-สำหรับผู้ที่เจ็บคออาจใช้น้ำ1แก้วผสมกับเกลือ 1 ช้อนกรั้วคอ
-สำหรับท่านที่มีอาการคัดจมูกอาจจะใช้ไอน้ำช่วยวิธีง่ายคือต้มน้ำร้อนแล้ให้นั่งหน้ากาน้ำเอาผ้าคลุมศีรษะและสูดดมไอน้ำ อาจจะใส่ขิงลงไปเพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก
-อย่าสั่งน้ำมูกแรงๆเพราะจะทำให้เชื้อลุกลาม
-ใหล้างมือบ่อยๆเมื่อออกนอกบ้าน ในช่วงที่มีการระบาดของเชื้อไขหวัดใหญ่ให้หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์ ลูกบิดประตู เป็นต้น
-เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าเช็ดหน้าหรือ ทิสซูปิดปาก
-ช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงจากที่สาธารณะ

ผู้ป่วยควรพบแพทย์เมื่อไร

ไข้หวัดใหญ่สามารถหายเองได้และท่านสามารถดูแลตัวเองที่บ้านแต่หากมีอาการดังต่อไปนี้ปรึกษาแพทย์ประจำตัวท่าน
-ในเด็กควรจะปรึกษาแพทย์เมื่อ
ไข้สูงและเป็นนาน
ให้ยาลดไข้แล้วไข้ยังเกิน 38.5ํ c
หายใจหอบ หรือหายใจลำบาก
มีอาการมากกว่า 7 วัน
ผิวสีม่วง
เด็กดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารไม่พอ
เด็กซึมลง ไม่เล่น
เด็กไข้ลดลง แต่หายใจหอบ

-สำหรับผู้ใหญ่ที่เป็นไข้หวัดใหญ่
ไข้สูงและเป็นมานาน
หายใจลำบาก หรือหายใจหอบ
เจ็บหรือแน่นหน้าอก
หน้ามืดเป็นลม
สับสน
อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้
ผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเสี่ยงควรพบแพทย์ทันทีที่เป็นไข้หวัดใหญ่เนื่องจากโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนได้แก่

-ผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัวเช่น โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต เบาหวาน หอบหืด มะเร็งเป็นต้น
-คนท้อง
-ผู้ป่วยโรคเอดส์
-ผู้ทีพักในสถานเลี้ยงคนชรา
-ผู้ป่วยอายุมากกว่า 65 ปี
-ผู้ป่วยไขหวัดใหญ่ที่มีอาการต่อไปนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล
 -มีอาการขาดน้ำไม่สามารถดื่มน้ำได้อย่างเพียงพอ
-ไอแล้วเสมหะมีเลือดปน
-หายใจลำบาก หายใจหอบ
-สีริมฝีปากเปลี่ยนเป็นสีเขียว
-ไข้สูงมากผู้ป่วยเพ้อ
-มีอาการไข้ และไอหลังจากที่อาการไข้หวัดใหญ่หายไปแล้ว

การรักษาในโรงพยาบาล

-ผู้ป่วยที่ขาดน้ำแพทย์จะให้น้ำเกลือ
-ผู้ป่วยเหล่านี้ควรได้รับยา amantadine และ rimantadine เพื่อให้หายเร็วและลดความรุนแรงของโรคยานี้ควรให้ภายใน48 ชั่วโมงหลังจากเริ่มมีอาการและให้ต่อ 5-7 วัน ยานี้ไม่ช่วยลดโรคแทรกซ้อน
-ถ้ามีอาการคัดจมูกแพทย์จะให้ยาลดน้ำมูก
-ถ้าไม่มีโรคแทรกซ้อนก็ไม่ควรให้ยาปฏิชีวนะ
-ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะหายใน 2-3 วัน ไข้จะหายใน 7 วัน อาการอ่อนเพลียอาจจะอยู่ได้นาน1-2 สัปดาห์

การป้องกัน

-ล้างมือบ่อยๆ
-หลีกเลี่ยงการเอามือเข้าปากหรือขยี้ตา
-อย่าใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น เช่นผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ
-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิด เมื่อเวลาเจ็บป่วย
-ให้พักที่บ้านเมื่อเวลาป่วย
-เวลาไอหรือจามให้ใช้ผ้าปิดปากและจมูก


แสดงความคิดเห็น