โรคความดันโลหิตสูง


โรคความดันโลหิตสูง  (Hypertension) คือ สภาวะผิดปกติที่บุคคลมีระดับความดันโลหิตสูงขึ้นกว่าระดับปกติของคนส่วนใหญ่  ถือว่าเป็นสภาวะที่ต้องควบคุม    เนื่องจากความดันโลหิตทำให้เกิดความเสียหายและการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดงทั่วร่างกายนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและอุดตันหรือหลอดเลือดแตก    โรคที่จะเกิดขึ้นจากความดันโลหิตที่สูงผิดปกติมีหลายโรค     คือ   โรคหลอดเลือดหัวใจหรือโรคหัวใจขาดเลือด   โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคอัมพาต  โรคหัวใจวาย โรคไตวายเรื้อรัง  โรคสมองเสื่อม  การรักษาควบคุมความดันโลหิตให้ลดลงเป็นปกติจะสามารถป้องกันโรคร้ายแรงต่างๆ  ที่กล่าวถึงได้เป็นส่วนมาก

อุบัติการณ์

จากการสำรวจในประชากรไทยอายุตั้งแต่  35  ปีขึ้นไป  ในปี  พ..  2543  พบว่าผู้ที่มีความดันโลหิตอยู่ในเกณฑ์สูงมีอยู่ร้อยละ  22  และประชากรส่วนใหญ่ที่เป็นความดันโลหิตสูงมักจะไม่มีอาการและมักจะไม่ได้รับประทานยารักษาอย่างถูกต้อง  หรือแม้จะได้รับยารักษาความดันโลหิตแล้ว  ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ยังไม่สามารถควบคุมให้ความดันโลหิตลดลงมาเป็นปกติได้


วิธีการวัดความดันโลหิต

วิธีการวัดความดันโลหิตที่เป็นมาตรฐาน  คือ  การวัดโดยเครื่องวัดความดันโลหิตแบบปรอทที่พบเห็นตามห้องตรวจของโรงพยาบาลโดยทั่วไป  วิธีการวัดความดันโดยใช้เครื่องแบบอื่นๆ  เช่น  เครื่องอัตโนมัตที่แสดงตัวเลขไม่ได้เป็นวิธีที่ดีกว่าวิธีใช้เครื่องวัดแบบปรอท ค่าความดันที่วัดได้จะออกมา  ค่า  คือ  ตัวเลขค่าสูงและค่าต่ำ  ค่าสูง คือ  ระดับความดันโลหิตตอนที่หัวใจบีบตัว  ค่าต่ำ คือ  ระดับความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว  ตัวเลขทั้งสองค่าจะรายงานเป็นมิลลิเมตรปรอท
ระดับของความดันโลหิตที่ถือว่าสูงผิดปกติ  คือ  ค่าสูงตั้งแต่  140  มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป  หรือค่าต่ำสูงตั้งแต่  90  มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป  โดยระดับความดันทั้งสองค่านี้ยิ่งสูงมากก็ยิ่งจะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆได้มากตามลำดับ


การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฎิบัติการ

 แพทย์มักจะตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น ดังนี้
1 .ตรวจปัสสาวะ
2. ตรวจเลือด เพื่อดูการทำงานของไต ระดับเกลือแร่ในร่างกาย  ตลอดจนตรวจปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ต่อโรค
หลอดเลือดหัวใจไปพร้อมกัน (เช่น ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดและระดับไขมันในเลือด)
3. ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ     
 
การพยากรณ์โรค

การพยากรณ์โรคของผู้เป็นความดันโลหิตสูงขึ้นอยู่กับ
1.ระดับของความดันโลหิต  ยิ่งสูงมากยิ่งเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนในอนาคตได้มาก
2.ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ รวมทั้งโรคเบาหวาน
3.โรคต่างๆ ที่ผู้ป่วยเป็นร่วมกันอยู่  เช่น โรคหัวใจ  โรคไต  โรคหลอดเลือดสมอง  เช่น  อัมพาต  การมีปัจจัยเสี่ยงมากและมีโรคร่วมหลายโรคยิ่งทำให้การพยากรณ์โรคไม่ดี



หลักการดูแลสุขภาพทั่วไป

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงควรจะต้องปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. เลิกสูบบุหรี่
2. ควบคุมน้ำหนักตัวให้พอเหมาะ  ไม่อ้วนเกินไป  
3. ลดการดื่มสุรา
4. ลดการรับประทานอาหารที่เค็มจัด
5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
6. รับประทานอาหารจำพวกผัก  ผลไม้  และลดปริมาณไขมันรวมในมื้ออาหาร



การพิจารณาให้ยาเพื่อลดความดันโลหิต

 แพทย์จะให้ยาลดความดันโลหิตแก่ผู้ป่วยในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงตั้งแต่แรก  ลักษณะของผู้ป่วยในกลุ่มนี้ คือ
 1. มีความดันโลหิตสูงระดับรุนแรง
 2. มีโรคเบาหวาน
 3. มีโรคต่างๆที่เป็นร่วมกับความดันโลหิตสูง ดังได้กล่าวแล้ว
 4. มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ตั้งแต่ 3 ข้อขึ้นไป (ปัจจัยเสี่ยง คือ อายุเกิน 45 ปี ในเพศชาย  ,เกิน 55 ปีในเพศหญิง, การสสูบบุหรี่, ไขมันในเลือดผิดปกติ, ประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจหรือหลอดเลือดสมองในครอบครัว)
 ส่วนผู้ป่วยที่ความเสี่ยงยังไม่สูงมาก  แพทย์อาจแนะนำให้ดูแลสุขภาพทั่วไปตามวิธีการข้างต้นที่กล่าวมาแล้วเสียก่อน แล้วนัดตรวจวัดความดันโลหิตเป็นระยะ  ถ้าหากความดันโลหิตไม่ลดลงหรือเพิ่มสูงขึ้นอีก  จึงค่อยให้ยาลดความดัน



หลักในการให้ยาลดความดันโลหิต



 1. ควรเลือกใช้ยาที่ออกฤทธิ์นานครอบคลุมได้ตลอด  24  ชั่วโมง  ลักษณะการออกฤทธิ์ของยาดังกล่าว  จะทำให้ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาวันละครั้งก็พอ  ทำให้สะดวกและไม่ลืมรับประทานยา  นอกจากนี้การใช้ยาที่ควบคุมความดันโลหิตได้สม่ำเสมอตลอดเวลา  จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ  ได้ดีกว่าการใช้ยาที่ออกฤทธิ์สั้น  ซึ่งนอกจากจะรับประทานยาวันละหลายครั้งแล้วยังอาจทำให้ความดันโลหิตแกว่งขึ้นได้ง่ายขณะที่ยาหมดฤทธิ์และอาจลดลงต่ำมากเกินหลังจากการรับประทานยามื้อต่อไป
 2. จากการศึกษาพบว่า  โรคแทรกซ้อนทั้งทางด้านโรคหัวใจ  และโรคหลอดเลือดสมองมักจะเกิดกำเริบขึ้นในช่วงตอนตื่นนอนเช้า  ซึ่งถ้าหากความดันโลหิตสูงขึ้นในช่วงนั้น  ก็จะทำให้โอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนมีมากกว่าเดิม  การใช้ยาที่ออกฤทธิ์นานครอบคลุมถึงช่วงเวลาดังกล่าวจึงมีประโยชน์ในการป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆได้ดีกว่ายาที่ออกฤทธิ์สั้น
 3. ควรเริ่มใช้ยาในขนาดต่ำ  1 ถึง  ชนิดและค่อยๆปรับยา  โดยต้องรอเวลาให้ยาที่ใช้ไปออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่เสียก่อน
 4. เมื่อยาขนานใดเกิดผลข้างเคียงขึ้น  แพทย์จะพิจารณาให้หยุดยาและเปลี่ยนเป็นยาชนิดอื่นๆในขนาดต่ำ


       ยาที่ใช้ในการรักษาความดันโลหิตที่มีใช้ในปัจจุบันแทบทุกชนิดจะมีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิตได้ใกล้เคียงกัน แต่แพทย์จะเลือกใช้ยาโดยอาศัยหลักดังต่อไปนี้

1.ยาชนิดนั้นๆ มีหลักฐานการยืนยันทางการแพทย์ว่า  สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนทางด้านหัวใจและหลอดเลือดลงมาได้อย่างแน่นอน
2. ยาชนิดนั้นๆ ควรจะเกิดประโยชน์ต่อโรคอื่นๆ ที่ผู้ป่วยอาจมีอยู่นอกจากโรคความดันโลหิตสูง  เช่น
โรคหัวใจล้มเหลว  โรคหัวใจขาดเลือด  โรคต่อมลูกหมากโต  เป็นต้น
3. ยาชนิดนั้นๆ ไม่ควรก่อผลเสียต่อโรคอื่นๆที่ผู้ป่วยอาจจะมีอยู่นอกจากโรคความดันโลหิตสูง   เช่น ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานสูงกว่าเดิมไม่ทำให้เกิดโรคเกาท์กำเริบไม่ทำให้การทำงานของไตเสื่อมลงกว่าเดิม  เป็นต้น
4. ยาชนิดนั้นๆ มีผลข้างเคียงน้อย  และมีราคาที่เหมาะสม





1 ความคิดเห็น:

  1. แนะนำสมุนไพรสกัดช่วยยับยั้งเชื้อ Hiv หนองใน หูดหงอนไก่ SLE โรคหนังแข็ง ปวดไมเกรน สะเก็ดเงิน เริม ริดสีดวง งูสวัด มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ภูมิแพ้ ตกขาว หอบ เก๊าท์ อัมพฤกษ์ ไทรอยด์ ไวรัสตับอักเสบบี เส้นเลือดตีบ แผลอักเสบเรื้อรัง ผู้มีปัญหามีบุตรยาก ไขมันอุดตัน หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท และโรคอื่นๆ..สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Line:aot-tt และ T.0961025897,, 0625241588,,

    ตอบลบ